ราชวงศ์ฮั่นตะวันออก
(ค.ศ. 23-220)
เมื่อราชวงศ์ซินสิ้นสุดอำนาจ หลิวซิ่ว ซึ่งเป็นราชนิกุลในราชวงศ์ฮั่นตะวันตกและเป็นผู้นำกองทัพชงหลิงโค่นล้มราชวงศ์ซินเริ่มฟื้นฟูราชวงศ์ใหม่โดยตั้งเมืองหลวงที่ เมืองลั่วหยัง ปีคริสต์ศักราช 25 หลิวซิ่วก็สถาปนาตนเองขึ้นเป็นฮ่องเต้ครองดินแดนเหอเป่ย ภายใต้สมญานามว่า ฮั่นกวงตี้ และใช้ชื่อราชวงศ์ฮั่นตามเดิม โดยทางประวัติศาสตร์ได้แบ่งยุคนี้เป็นฮั่นตะวันออก เนื่องจากนครหลวงตั้งอยู่ที่เมืองลั่วหยางภารกิจแรกของกวงอู่ตี้คือการปราบกองกำลังคิ้วแดงที่กำลังปิดล้อมเมืองฉางอัน

หลิวซิ่ว
ช่วงต้นราชวงศ์มีการฟื้นฟูบูรณะเศรษฐกิจ ความเป็นอยู่ของราษฎร ผ่อนคลายกฎเกณฑ์ของบ้านเมือง เชิดชูหลักคำสอนของลัทธิขงจื๊อซึ่งเน้นคุณธรรมอันส่งผลให้เกิดกระแสที่ปัญญาชนกล้าวิจารณ์ราชสำนักเพิ่มขึ้น ราชวงศ์ฮั่นตะวันออกสามารถครองแผ่นดินจีนต่อเนื่องกันนาน 200 ปี ท่ามกลางความวุ่นวายของสังคมและการแย่งชิงอำนาจระหว่างพระญาติวงศ์และขันทีอย่างดุเดือด
ปีรัชสมัยที่ 12 ของกวงตี้ ก็สามารถปราบก๊กของกงซุนซู่ในเสฉวนลงอย่างราบคาบ รวมประเทศจีนกลับมาเป็นหนึ่งเดียวกันอีกครั้ง จากนั้นตามมาด้วยประกาศปลดปล่อยแรงงานทาส ซึ่งถือเป็นการปลดปล่อยแรงงานการผลิตครั้งใหญ่ นอกจากนี้ ยังซ่อมสร้างการชลประทานทั่วประเทศ รื้อฟื้นภาคการเกษตรให้กลับมีชีวิตชีวาอีกครั้ง
รัชสมัยหมิงตี้ ก็ยกเลิกการผูกขาดการค้าเกลือและเหล็กกล้า อีกทั้งธุรกิจอื่น ๆ อาทิ ธุรกิจหลอมและหล่อทองแดง ธุรกิจผ้าไหมเป็นต้น ทำให้บ้านเมืองและการค้าขายในยุคฮั่นตะวันออกเจริญรุ่งเรืองขึ้น เมืองลั่วหยังกลายเป็นศูนย์กลางทางการค้าของประเทศ ส่วนศูนย์กลางทางภาคใต้ ได้แก่ เมืองหยังโจว จิงโจว อี้โจว ก็มีความเจริญในด้านธุรกิจหัตถกรรม จำนวนประชากรในเมืองเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
รัชสมัยจางตี้ และเหอตี้ ถึงกับมีการเดินทางออกไปติดต่อเชื่อมสัมพันธไมตรียังดินแดนฝั่งตะวันตก เพื่อสานต่อแนวการค้าบนเส้นทางสายไหม ขณะเดียวกัน บรรดาเจ้าที่ดินทั้งฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊ต่างก็อยู่ในช่วงสั่งสมกำลังบารมี
หลังรัชสมัยเหอตี้ บรรดาเชื้อพระวงศ์และเหล่าขุนนางชั้นสูงต่างก็มีอำนาจที่เข้มแข็งมากขึ้น มักปรากฏว่าเชื้อพระวงศ์และขุนนางผลัดกันหรือร่วมมือกันเข้ากุมอำนาจในระหว่างการผลัดแผ่นดินอยู่บ่อยครั้ง ในสี่รัชสมัยต่อมาอันได้แก่ ซุ่นตี้ ช่งตี้ จื้อตี้และเหิงตี้ กษัตริย์ทั้ง 4 มีเชื้อพระวงศ์เหลียงจี้ คอยเป็นที่ปรึกษาว่าราชการให้ถึง 20 ปี สั่งสมเงินทองทรัพย์สินกว่า 3,000 ล้าน ภายหลังยุคกลางของฮั่นตะวันออก กลุ่มครอบครัวตระกูลใหญ่เข้ากุมอำนาจทางการเมือง ทำให้เกิดสภาพเป็นขั้วการเมืองแบบผูกขาด
ในช่วงกลางของฮั่นตะวันออก ยังมีนักปราชญ์ที่มีชื่อเสียงอย่าง จางเหิง ซึ่งเป็นทั้งนักคิด นักกวี และนักวิชาการ โดยเขาได้คิดประดิษฐ์เครื่องวัดตำแหน่งดวงดาวและเครื่องวัดแผ่นดินไหวที่สามารถใช้ในทางวิทยาศาสตร์ได้อีกด้วย(เครื่องตรวจวัดแผ่นดินไหว จากการคิดค้นของจางเหิง สร้างขึ้นในคริสต์ศักราช 132 ถือเป็นเครื่องวัดแผ่นดินไหวเครื่องแรกของโลก ) ในรัชสมัยเหอตี้ ก็ยังมีไช่หลุน ผู้ซึ่งได้ปรับปรุงกรรมวิธีการผลิตกระดาษจากพืช ซึ่งทำให้ราคากระดาษถูกลง และนิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย อันเป็นการสร้างคุณูปการต่อชาวโลกครั้งยิ่งใหญ่ นอกจากนี้ องค์ความรู้ต่าง ๆในด้านการเกษตร การคำนวณและการแพทย์ ต่างก็ประสบความก้าวหน้าใหญ่ ศาสนาพุทธและเต๋าที่ทรงอิทธิพลล้ำลึกทางความคิด วัฒนธรรมและวิถีชีวิตในสังคมจีน ก็ล้วนเจริญรุ่งเรืองขึ้นในยุคนี้เองและช่วงกลางของราชวงศ์ฮั่นตะวันออกซึ่งขันทีครองอำนาจในแผ่นดินและครอบงำจักรพรรดิไว้ บรรดาปัญญาชนซึ่งถือเป็นบัณฑิตผู้รู้หนังสือต่างวิจารณ์อิทธิพลของเหล่าขันทีซึ่งสร้างความเดือดร้อนให้ประชาชน บ้านเมืองปั่นป่วน บัณฑิตบางคนร่วมมือกับขุนนางในราชสำนักก่อกบฏ
ยุคปลายของฮั่นตะวันออก ได้เกิดกระแสการวิพากษ์การเมืองจากกลุ่มปัญญาชนและขุนนางผู้น้อยส่วนหนึ่ง ที่ต้องการแสดงความไม่พอใจต่อระบบการเมืองการปกครองในสมัยนั้น จนเกิดวิกฤตทางการเมือง
บรรดาขันทีสามารถสยบกลุ่มต่อต้านได้ จึงเหิมเกริมและผยองใจมากขึ้น การกุมอำนาจในราชสำนัก การเชื่อฟังของจักรพรรดิ สร้างความระส่ำระสายในสังคม ราษฎรไม่พอใจการบริหารตามอำเภอใจของเหล่าขันที แรงบีบคั้นต่างๆ กระตุ้นให้ประชาชนลุกขึ้นต่อต้านผู้ปกครอง กลายเป็นกบฏประชาชน ราชสำนักจึงเพิ่มอำนาจให้ขุนนางท้องถิ่นเพื่อรับมือกับกบฏ ทำให้พวกขุนนางเหล่านั้นมีกำลังทหารเป็นของตนเอง จึงฉวยโอกาสนี้สร้างอำนาจและเพิ่มกำลังคนจนกลายเป็นขุนศึกแล้วแบ่งแยกดินแดนออกเป็นเอกเทศ ต่งจัว (ตั๋งโต๊ะ) ถือเป็นขุนศึกรุ่นแรกที่มีบทบาทโดดเด่นของยุคนี้

แผนที่เมื่อแตกออกเป็น3ก๊ก
ถึงกับมีการซึ้อขายตำแหน่งทางการเมืองกันอย่างเปิดเผย อำนาจบ้านเมืองล่มสลาย สังคมเต็มไปด้วยคนจรไร้ถิ่นฐาน เกิดความเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้าเมื่อถึงรัชสมัยหลิงตี้ เกิดกบฏโพกผ้าเหลืองทางภาคเหนือนำโดยเตียวก๊ก เข้าล้มล้างราชวงศ์ฮั่นตะวันออก บรรดาเจ้าที่ดินที่มีกำลังกล้าแข็งต่างก็ฉกฉวยโอกาสนี้พากันตั้งตนเป็นใหญ่ ต่อสู้แย่งชิงอำนาจ จนท้ายสุดหลงเหลือเพียง 3 กลุ่มอำนาจใหญ่นั่นคือ วุ่ย (WEI) สู(SHU) และ อู๋(WU) หรือที่รู้จักกันในนามของ "สามก๊ก" นั่นเอง
หลายครั้งที่จักรพรรดิสิ้นพระชนม์กะทันหัน รัชทายาทผู้เยาว์วัยต้องขึ้นครองราชย์ด้วยพระชนมายุน้อย จึงต้องมีผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ซึ่งอาจเป็นพระราชชนนีหรือพระญาติวงศ์ การบริหารงานแทนจักรพรรดิทำให้บุคคลเหล่านี้ถือโอกาสกำจัดผู้ไม่เห็นด้วยกับฝ่ายตนเพื่อเสริมสร้างอำนาจให้เข้มแข็งขึ้น ครั้นจักรพรรดิน้อยเติบโตเป็นผู้ใหญ่กลับไม่ยินดีจะคืนพระราชอำนาจ พระองค์จึงต้องวางแผนชิงอำนาจคืนมาโดยอาศัยพวกขันทีสังหารพระญาติผู้เป็นต้นเหตุ ความช่วยเหลือของฝ่ายขันทีสร้างอำนาจครอบงำจักรพรรดิและราชสำนักแทนกลุ่มเดิมในท้ายที่สุด การแย่งชิงอำนาจและชัยชนะของฝ่ายใดก็ตามส่งผลต่อการปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้ตามปกติของข้าราชการ บ้านเมืองตกอยู่ในบรรยากาศของความหวาดระแวงกันและระส่ำระสายหนักขึ้น อันกลายเป็นสาเหตุหนึ่งในการล่มสลายของราชวงศ์นี้
เมื่อพระเจ้าฮั่นเซ่าตี้ขึ้นครองราชย์แล้ว อำมาตย์หยวนเซ่า (อ้วนเสี้ยว) เริ่มกำจัดขันทีกว่า 2000 คน อันเป็นการกวาดล้างอิทธิพลของขันทีทั้งหมด ต่อมาต่งจัว (ตั๋งโต๊ะ) นำกองทหารบุกโจมตีลั่วหยางและปลงพระชนม์พระเจ้าฮั่นเซ่าตี้ แล้วยก พระเจ้าฮั่นเซี่ยนตี้ (เหี้ยนเต้) ขึ้นครองราชย์แทน พร้อมกับบีบให้หยวนเซ่าออกจากเมืองหลวง ไม่นานหยวนเซ่ากับพันธมิตรยกทัพมาตีต่งจัว เขาจึงพาจักรพรรดิลี้ภัยไปฉางอาน (เตียงอัน) ต่อมา หลี่ปู้ (ลิโป้) กับพวก วางแผนลอบสังหารต่งจัวสำเร็จ จักรพรรดิจึงเดินทางกลับลั่วหยัง (ลกเอี๋ยง) แต่ถูกนายทัพเฉาเชา (โจโฉ) ย้ายพระองค์ไปอยู่ที่เมืองสี่ชาง (ฮูโต๋) ตั้งแต่บัดนั้นมาเฉาเชาจึงควบคุมและใช้อำนาจบริหารบ้านเมืองในนามจักรพรรดิ ถือเป็นผู้ครองอำนาจสูงสุดแท้จริง ปี ค.ศ. 220 เฉาเชาเสียชีวิตลง บุตรชายของเขา คือ เฉาพี (โจผี) ขึ้นสืบทอดตำแหน่งแทน แล้วถอดถอนพระเจ้าฮั่นเซี่ยนตี้ สถาปนาตนเองขึ้นเป็นจักรพรรดิ ราชวงศ์ฮั่นตะวันออกจึงล่มสลายอย่างสมบูรณ์

อ้วนเสี้ยว

ตั๋งโต๊ะ

ลิโป้

แผนที่ราชวงศ์ฮั่นตะวันออก